The Real One

The Real One ร็อกสตาร์ตัวจริง “แหลม 25 hours”

การเป็นนักร้องมีชื่อเสียงเป็นอาชีพที่ใครหลายคนใฝ่ฝัน แต่จะมีสักกี่คนที่เป็นศิลปินตัวจริง หนึ่งในนั้นที่ทำสำเร็จคือ “แหลม-สมพล รุ่งพาณิชย์” นักร้องนำวงดนตรี 25 hours นอกจากความมุ่งมั่นเกินร้อยที่จะเดินตามความฝันแล้ว หนุ่มร็อกคนนี้พร้อมท้าทายความสามารถของตัวเองด้วยการขยายขอบเขตทางดนตรีที่ไม่มีวันจบสิ้น

“จริงๆตอนเด็กๆผมร้องเพลงโดยที่ไม่รู้ว่านี่คือความชอบหรือความไม่ชอบ รู้อย่างเดียวว่าร้องแล้วมีความสุข ตอนนั้นที่บ้านทำแพก๋วยเตี๋ยวเรือขายอยู่ย่านรังสิต คุณพ่อคุณแม่ก็ทำงานไปโดยจะเปิดเพลงของสายัณห์ สัญญา หรือเพลงลูกทุ่งทั่วๆไปในร้าน จนเราเองเริ่มชอบเสียงเพลงตั้งแต่ยังเด็ก เวลาว่างๆก็จัดประกวดกันในบ้านตลกๆ พอเข้าช่วงประถมไปประกวดร้องเพลงในโรงเรียนแต่เกือบล่ม ลืมเนื้อเพลงเอากลางเวทีเลย รู้สึกอายมาก” แหลมเล่าให้ฟังก่อนที่จะเริ่มแต่งหน้าทำผมสำหรับถ่ายแฟชั่นเซตในวันนี้ ดูเหมือนเพื่อนๆในวัยเด็กจะรู้จักแหลมในฐานะที่เป็นเด็กร้องเพลงประจำห้อง “ผมว่าเขารู้จักผมในฐานะเด็กชอบวาดรูปมากกว่า ส่วนเรื่องร้องเพลงเป็นเรื่องรองๆเพราะยังไม่ชัดเจน ผมเคยโดนให้เป็นตัวแทนของโรงเรียนประกวดอ่านทำนองเสนาะด้วยนะ อันที่จริงถ้าโรงเรียนมีประกวดอะไรผมมักได้เป็นตัวแทนไปประกวดตลอด เคยแข่งได้ที่ 1 ของจังหวัดด้วย” แหลมตอบติดตลก พร้อมขยับแว่นเหมือนจะโชว์ให้แอลดูเค้าความเป็นเด็กเนิร์ดของตัวเอง

“โอ๊ย! ผมไม่ค่อยเรียบร้อยเท่าไรนะ” แหลมหักมุม “แต่ผมเคยเรียนได้ที่ 1 ของห้อง เกรดเฉลี่ย 3.75 ได้ขยับมาอยู่ห้องรองคิง แต่พอเริ่มเล่นดนตรีก็เหมือนมีความสนใจอย่างอื่นเข้ามา และผมเป็นคนชอบทำกิจกรรม ชอบเรียนรู้ อันนี้ก็น่าทำ อันนี้ก็สนุก พอตอน ม.6 ผมเป็นตัวแทนห้องลงสมัครประธานนักเรียน คือเรามีไอเดียอยากทำโน่นอยากทำนี่ในโรงเรียนอยู่เหมือนกันเลยลองสมัคร แล้วผมก็ได้รับเลือกเป็นประธานนักเรียน ยอมรับว่าส่วนหนึ่งที่เราชนะใจคน 2,000-3,000 คนในโรงเรียนได้ก็เพราะการเป็นนักร้องของโรงเรียน ทั้งที่จริงๆผมเป็นประธานนักเรียนที่ไม่น่าจะเป็นประธานนักเรียนที่สุดเท่าที่โรงเรียนเคยมีมา เพราะบุคลิกของประธานนักเรียนน่าจะเป็นเด็กเรียนสายวิทย์ เรียบร้อย แต่งตัวสะอาดสะอ้านดูดีในสายตาอาจารย์ทุกคน แต่ผมไม่ใช่เด็กแบบนั้น คือเราอยู่กลางๆ มีทั้งเพื่อนที่เกเรที่สุดถึงเรียบร้อยที่สุดในโรงเรียน เราอยู่กับคนเหล่านั้นได้หมด “จุดเปลี่ยนที่ทำให้ผมเริ่มจริงจังกับการร้องเพลงคงเป็นงานประกวดฮอตเวฟในช่วงม.ปลาย ที่ตอนนั้นอยู่วงชื่อ “ลังเล” ช่วงนั้นตั้งใจกับการประกวดจนได้เข้ารอบสุดท้าย และได้เป็นศิลปินฝึกหัดของแกรมมี่”

มาถึงตรงนี้ดูเหมือนเส้นทางการเป็นนักร้องของเด็กชายคนหนึ่งน่าจะมาถึงจุดที่ฝันได้อย่างไม่ยากนักเมื่อเขามีโอกาสก้าวเข้าสู่รั้วของค่ายเพลงยักษ์ใหญ่ของประเทศ แต่ความจริงไม่ได้เป็นอย่างนั้น แหลมเล่าให้ฟังว่าเขาใช้เวลาถึง 8-9 ปีหลังจบชั้นม.ปลาย และมหาวิทยาลัยที่คณะดุริยางศิลป์ มหาวิทยาลัยมหิดล ต้องเรียนรู้และฟันฝ่าอุปสรรค รวมถึงการที่ต้องพบกับความล้มเหลวจนเกือบจะยอมแพ้ “ตอนนั้นทำอัลบั้มเต็ม 2 ชุด แต่ไม่ได้ออก ตอนโปรเจ็กต์อัลบั้มรอบที่ 2 ถึงขนาดถ่ายปกเป็นซิงเกิลแล้ว สุดท้ายทางค่ายบอกว่า ‘พี่ว่าไม่เวิร์ก ถอยดีกว่า’ ไม่ได้ปั๊มแผ่นออกมา เหมือนเราเป็นคนปลูกต้นไม้ ทั้งรดน้ำทั้งคิดทั้งทำให้มันโต แต่คนที่เป็นคนจ้างให้เราปลูกซึ่งมีทั้งเงินและอำนาจกลับมาบอกง่ายๆว่าตัดทิ้งเหอะ ไปไม่รอดหรอก ถามว่าท้อและเหนื่อยไหม ผมผิดหวัง แต่ผมเป็นคนที่คิดว่าจะต้องหาคำตอบให้ได้ เราจะต้องทำให้ได้ ตอนนี้นึกย้อนกลับไปก็อยากจะขอบคุณทางค่าย ขอบคุณที่เปิดโอกาสให้ผมได้ไปเรียน ให้พื้นที่ผมได้ไปวิ่งเล่น ไม่งั้นผมคงเขียนเพลงไม่เป็น คุยกับคนทำเพลงไม่รู้เรื่อง และขอบคุณที่ทำให้ผมได้เรียนรู้ว่าเราไม่ชอบอะไรเพราะได้ไปทำในสิ่งที่เราไม่ชอบและไม่ใช่ตัวเอง” แหลมเล่าให้ฟังถึงที่มาของการเป็นวง 25 Hours ซึ่งวันนี้เขากล้าพูดได้เต็มปากเลยว่าได้เป็นตัวของตัวเอง

“วันนี้เป็นตัวจริงครับ ผมเข้าใจตัวเองมากขึ้น มันเหมือนการเดินทางของคนคนหนึ่ง ตอนแรกเรายังไม่เข้าใจตัวเองมากนัก ยังเลือกไม่ได้ว่าอะไรใช่ไม่ใช่ เพราะยังมีสิ่งที่ตัวเราเองไม่รู้ แต่บางครั้งเราทำไปเพราะสิ่งนั้นสิ่งนี้มามีอิทธิพลกับเรา แต่วันนี้เราผ่านตรงนั้นมาแล้ว เรารู้ว่าตัวเองต้องการอะไร ผมได้เขียนเพลงและร้องเพลงที่ผมเขียน ถ่ายทอดเรื่องราวที่ผมต้องการจะถ่ายทอด นี่แหละคือที่เรียกว่าผมได้ทำในสิ่งที่ผมรัก”ระหว่างที่พูดคุยกัน เราสัมผัสได้ถึงความมุ่งมั่นและความมั่นใจบางอย่างที่แหลมถ่ายทอดออกมาทางคำพูดและแววตา ประสบการณ์นำมาซึ่งความเข้าใจและการเติบโตเป็นผู้ใหญ่ รวมถึงการถ่ายภาพแฟชั่นในวันนี้ที่เขาสามารถสื่อสารผ่านเลนส์กล้องออกมาได้อย่างน่าทึ่ง ทำให้รู้สึกชัดเจนได้ถึงคำว่า “มืออาชีพ” จากผู้ชายคนนี้

“จริงๆนี่เป็นอีกการทำงานที่สนุกมาก  ต้องทำอย่างไรให้ภาพและบอดี้ของเราออกมาในมุมที่สวยที่สุด ส่วนหนึ่งก็เพราะเคยผ่านการถ่ายภาพมาบ้าง ยอมรับว่าอยู่ที่บ้านก็มีซ้อมถ่ายรูปหน้ากระจกบ้าง เรียนรู้จากรูปที่ถ่ายกับแฟนเพลงบ้างว่าเรามีมุมไหนที่ดูดี แต่อีกส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะผมเรียนศิลปะมา ชอบวาดรูปมาตั้งแต่เด็กๆ ผมเรียนจิตรกรรมที่มหาวิทยาลัยราชมงคลธัญบุรีคลอง 6 จนจบ ได้เรียนรู้เรื่องของฟิกเกอร์ มุมแสงเงา ถ้าผมไม่ได้เป็นนักร้องก็คงจะทำงานศิลปะจริงๆจังๆครับ แต่ตอนนี้เราจริงจังกับการร้องเพลงเลยพักมันไว้ก่อน อีกอย่างคือที่บ้านตอนนี้ไม่มีพื้นที่พอที่จะให้เราทำงานศิลปะเลอะเทอะได้ เพราะเวลาวาดรูปผมจะใช้พื้นที่ในการวาดเยอะมาก นั่งอยู่ตรงนี้ก้นก็จะไถไป เปรอะบ้าง ทับสีบ้าง และงานสไตล์ผมก็จะเป็นงานที่เปรอะๆ ตอนนี้ยังฝันเลยว่าอยากจะมีห้องสักห้องหนึ่งที่ทำงานศิลปะได้”

ใส่ความเห็น